Opening 'Embody-รวมเพื่อเริ่ม'(บันทึกเกือบลับเก็บไว้อ่าน)
บอกตรงๆว่าไม่กล้าเชิญใคร เพราะกลัวจะผิดหวังหากเขาไม่มา
งานนี้จึงไม่มีประธานในพิธีเปิด เป็นงานเล็กๆที่ใช้หัวใจมาเปิดกันเอง นิทรรศการเดี่ยวครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของผม ซึ่งจัดครั้งแรก (Everything's Art) เมื่อปี 2002 ที่อาคารพลังงานทรงพิรามิค มน. จนกระทั่งผ่านมา 2018 เป็นเวลากว่า 16 ปี ก็มีโอกาสกลับมาทำนิทรรศการเดี่ยวอีกครั้ง หลังจากจบนิทรรศการคู่กับศิลปินเกาหลีที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2017 ไม่มีดนตรีใดๆ ไม่มีงานฟ้อนรำมหรสพเปิด ไม่มีสุราให้เมามาย แต่มีน้ำดื่มสมุนไพร พร้อมผลไม้และของว่างไว้เคี้ยวเล่นระหว่างชมงาน มีเพื่อนๆหลายคนที่กาปฏิทินรอเพื่อมาร่วมงาน มีน้องสาวและหลานๆขับรถฝ่ารถติดฝ่าฝนมาจาก กทม.กว่า 6 ชม. เพื่อมาแสดงความยินดี และเราตัดสินใจที่ต้องเลือกไม่ไปงานสำคัญสุดท้ายของน้าชายซึ่งเป็นน้าชายของแม่ที่ต้องลาจากโลกนี้ไป ซึ่งอยู่คนละภาคของประเทศไทย (ขอบคุณญาติๆที่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ)
งานนี้...
ไม่มีนักสะสมผลงานมาให้กราบกรานเลือกชมช๊อปปิ้งผลงาน
มีแค่ผลงานที่คุยกันกับผู้ชมเงียบๆเพียงลำพัง
และได้เห็นหัวใจของหลายๆคน
ไม่มีดอกกล้วยไม้เสียบเสื้อติดหน้าอก
มีแต่สายตากับรอยยิ้มของผู้ชมที่ติดตรึงหัวใจไม่มีเหี่ยวเฉา
กับเสียงสนทนาที่ผ่านประสบการณ์ยากบรรยายและเรื่องราวต่างๆของแต่ละคนที่ผ่านมา
พร้อมพลังใจที่กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดแรงๆให้กระชุ่มกระชวย ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งด้วยตัวของพวกเราเอง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับสายฝนปรอยๆซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศแสนอบอุ่นระหว่างมวลมิตร ที่ให้เกียรติมาในงานนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2 ของผม embody 08.12.18 ช่วง 5 โมงเย็น วันที่ฟ้าครึ้มพร้อมเม็ดฝนเบาๆ แต่พวกคุณเลือกจะมางานนี้ ผมขอขอบคุณในหัวใจของทุกคน
เป็นอีกวันที่ในชีวิตของผมจะเก็บเป็นประสบการณ์และจะจดจำใบหน้าและรอยยิ้มจากหัวใจของทุกคนไว้ มีการถามตอบ ตั้งคำถามในหลายแง่มุมความคิด ถกประเด็นเล็กๆแต่เป็นความจำเป็นที่แท้จริงของสังคมใหญ่
ซึ่งพวกเราไม่ได้คุยถึงใครอื่นไกล พวกเราคุยกันเรื่องการเข้าหาและรู้จักกับตัวเอง การรู้ทันความคิดตนเองผ่านงานศิลปะ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพื่อสะพานที่จะเชื่อมต่อพวกเราให้คุ้นเคยกับตัวเองมากขึ้น ด้วยคำว่ามุมมอง สัจจะและวินัย ต่อตนเอง โดยใช้ปัญญา
ขอขอบคุณมวลมิตรทุกท่านที่ฝ่าสายฝนและอากาศขมุกขมัวให้เกียรติและกำลังใจมาในงานครั้งนี้ ขอบคุณครอบครัว(น้องสาว สามี และหลานๆ)ที่เดินทางฝ่ารถติด สายฝนจาก กทม.เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ขอบคุณที่สุดคือแม่ระวิงแกลเลอรี่ ที่เปิดโอกาศให้พื้นที่ผมได้แสดงผลงาน เดี่ยว ที่ทิ้งห่างมากว่า 16 ปี
ขอบคุณน้องเข็ม จากคณะนิเทศศาสตร์ วิทยาลัยปัญญาภิวัฒน์ จากกทม.ที่มาสัมภาษณ์เปิดประเด็นคำถามน่าสนใจ และจะนำไปเป็นส่วนหนึ่งของงานก่อนน้องจบ ซึ่งจะนำเพยแพร่ต่อไป
สำหรับท่านที่ไม่ได้มาร่วมและอยากร่วมงานกันไม่ต้องกังวลครับ เดี๋ยวถ้าคลิ๊ปเต็มๆออกมาเมื่อไหร่ จะรีบนำมาให้ชมกันนะครับ
ด้วยความเคารพ ขอบคุณครับ