8 เหตุผลที่พ่อแม่ควรลงทุนสร้างศิลป์ในตัวเด็ก
8 เหตุผลที่พ่อแม่ควรลงทุนสร้างศิลป์ในตัวเด็ก
ในยุคที่เด็กๆกำลังก้มหน้าก้มตาเขี่ยสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และหมกอยู่กับจินตนาการที่ผู้อื่นสร้างขึ้นและกำลังควบคุมให้พวกเขาเป็นไปตามอารมณ์นั้น ความเบื่อหน่ายทำให้พวกเขาสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนทางเลือกได้ตลอดเวลาอย่างง่ายดาย โลกที่แท้จริงถูกโลกเสมือนจริงกลืนกินเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เด็กเริ่มมีสมาธิกับสิ่งที่ทำในระยะสั้น หงุดหงิดง่าย เมื่อไม่ได้ดั่งที่ใจต้องการเหมือนการเปลี่ยนความคิดก็จะเกิดอารมณ์ที่โมโห หงุดหงิด จนถึงขั้นทำร้ายและทำลายอะไรก็ได้ที่อยู่รอบตัว
จริงๆแล้วเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตนั้นง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าหากขาดสิ่งนี้แล้ว มนุษย์จะอยู่ไม่ได้ ซึ่งสำหรับวัย 20 ขึ้นไปอาจเข้าใจง่าย แต่วัยที่เกิดมาพร้อมกับเครื่องอำนวยความง่ายเหล่านี้ พวกเขาอาจกำลังคิดว่า มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องสาปส่งเทคโนโลยีเหล่านี้เพราะมีประโยชน์มากเหลือเกิน เพียงแค่หาวิธีที่จะให้งานให้มันเป็นประโยชน์กับเรา มากกว่าที่จะให้มันมาดึงเวลาจากเราเพื่ออยู่กับมันให้นานที่สุด จนสุดท้ายกระบวนการทางความคิดของเราจะถูกบั่นทอนลงเรื่อยๆ จนสมองไม่ยอมคิดเองและขาดเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการคิดไม่ได้
มาดู 8 เหตุผลที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรลงทุนสร้างทักษะงานศิลป์ให้กับเด็กๆกันว่า การลงทุนกับมนุษย์นั้นสำคัญมากแค่ไหน
1. ศิลปะช่วยสร้างเส้นใยสมอง
เด็ก 3-5 ปี สมองสร้างเส้นใยกว่า 5,000 เส้น/วินาที สมองเรามีเส้นประสาทที่เรียกว่า นิวรอน(neurons) จำนวนล้านล้านเส้น ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่า 10 เท่าของประชากรโลก เส้นประสาทใหม่จะเกิดขึ้น 4,000 เส้นทุกวินาที ประสานกันเป็นเครือข่าย ในช่วง 3 ปีแรกเกิดนิวรอนจะรวมกัน 30,000 จุดต่อตารางเซนติเมตรบนพื้นที่สมอง ซึ่งภาษาของระบบประสาทคือไฟฟ้า
สมองของเด็กอายุ 6 ปี จะมีเส้นใยอยู่ 5-7 เท่าของสมองเด็กอายุ 18 เดือนและจะมีการเชื่อมต่อกับเชลล์ประสาทอื่นๆได้ถึง 6,000-7,000 เชลล์ประสาทเดียวกัน ซึ่งหลังจากอายุ 10-11 ปี หากเส้นใยประสาทไม่ได้รับการกระตุ้นจากข้อมูลภายนอกก็จะไม่เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น และหากไม่ได้ใช้งานก็จะถูกกำจัดออกไปโดยอัตโนมัติ
เพราะหากกระตุ้นด้วยศิลปะซึ่งจะเป็นตัวทำหน้าที่ประสานที่พลังความคิด จนเกิดกระบวนการกลั่นออกมาทางด้านทักษะการวาด ซึ่งหากเด็กได้รับการฝึกฝนจะช่วยให้เกิดพัฒนาการที่ดีกว่าปกติ ทำให้ช่างสังเกต จดจำ ใจกว้างมากขึ้นเพราะฝึกการเรียนรู้ร่วมกัน สังเกตซึ่งกันและกัน
2. ศิลปะช่วยเพิ่มจินตนาการ
มีปากกาเหมือนกันแต่มีจินตนาการต่างกัน...เชื่อหรือเปล่าครับว่าหากเรามอบปากกากับกระดาษให้กับคนที่มีจินตนาการกับไร้ซึ่งจินตนาการ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะแตกต่างกันมหาศาล ซึ่งจินตนาการนั้นสามารถใช้ได้ใช้ได้จนสมองหยุดทำงาน ที่สำคัญยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน อีกทั้งช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ เกิดการตั้งคำถามและหาคำตอบ ไวต่อความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดการพัฒนาการมีความกล้า รู้จักตัวเอง ฝึกให้เด็กรู้จักความอดทนและรอคอย จนเกิดความมุ่งมั่น และมั่นใจในการแสดงออกทางความคิดมากขึ้น
3. งานศิลปะทำให้ได้รู้จักความคิดลูก
เราเห็นเขาจากงานศิลป์ มุมที่มองอาจคนละมุม เราจะเห็นความไม่มั่นใจของเขาจากลายเส้นที่เขาค่อยๆเขี่ยระหว่างตัดเส้น หรือความคิดที่สบสน ย้ำคิดย้ำทำจากสีที่ซ้อนทับกันจนกระดาษเปื่อย
4. ศิลปะประยุกต์ใช้กับสาขาอะไรก็ได้
ศิลปะสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกอย่าง ทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่งานด้านเทคโนโลยี นักกีฬา ดนตรี นักการตลาด แพทย์ พยาบาล วิศวะ นักเขียน พ่อครัว แม่บ้าน ฯลฯ
5. ศิลปะ เป็นงานอดิเรกหารายได้พิเศษตลอดตั้งแต่เรียนจนลาจากโลกไป
มีหลายคนที่มีพื้นฐานด้านศิลปะแล้วใช้ทักษะนี้ระหว่างเรียนสาขาวิชาอื่น พวกเขามีทักษะเฉพาะตัวจนกลายเป็นอีกจุดเด่นของบุคคลรอบข้าง นอกจากพวกเขาสามารถสร้างคุณค่าของตัวเองขึ้นมาได้แล้ว หลายๆครั้งรายได้พิเศษก็มาจากการวาดรูปขายหรือรับจ้างทำงานศิลปะให้กับเพื่อนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานนี้เลยหรือผู้คนอีกมากมายที่ถูกใจงานของเขาและขอซื้อเก็บไว้เพื่อชื่นชมกับผลงาน
6.ศิลปะทำให้ได้ปลดปล่อยความคิดของตัวเอง
พวกเขาจะมีวิธีที่จะระบายอารมณ์ ไม่เก็บอาอารมณ์ของตัวเอง จนทำให้อึดอัด เพราะสามารถส่งผ่านทางภาพเขียนได้ อารมณ์ที่ซ่อนอยู่นั้นอาจถูกปลดปล่อยมาทางลายเส้น สีสัน ลวดลาย ซึ่งจะทำให้พวกเขาลดความกังวลเกี่ยวกับเรื่องทุกข์ใจลงทันที
7. ศิลปะช่วยสร้างการเรียนรู้จักวางแผนงานซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
เป็นการฝึกกระบวนการคิด และการวางแผนซึ่ง พวกเขาจะค่อยๆเรียนรู้เพื่อฝึกการวางแผนงานและลงมือทำสู่ความสำเร็จด้วยฝีมือตัวเอง ประสบการณ์จะสอนให้พวกเขาได้รู้ว่า การสร้างภาพ 1 ภาพนั้น ต้องวางแผนทำพื้นหลัง การร่าง การลงสี ก่อนหรือหลัง เพื่อเป็นการรองรับการวางแผนที่จะทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันได้ในอนาคต
8. ศิลปะทำให้สมองกับมือทำงานประสานกัน
เหมือนมีคอมพิวเตอร์สั่งการผ่านสมองโดยมีฝีมือผ่านทักษะเป็นเครื่องปริ๊น.....
สิ่งนี้สามารถทำให้เด็กมีความมั่นใจและกล้าที่จะทำหลายๆสิ่งได้มากขึ้น เพราะมือนั้นสามารถควบคุมและบังคับน้ำหนักได้ตามใจ เมื่อทำได้ดีก็ยิ่งสร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอนาคตเราไม่อาจรู้ว่าเด็กๆนั้นจะทำอาชีพอะไร เขาอาจเป็นหมอผ่าตัดที่ฝีมือฉกาจ เป็นหมอศัลยกรรมที่เยี่ยมยอด หรือเป็นนักออกแบบระดับโลก
เมื่อเกิดการเตรียมพร้อมที่ดี ก็สามารถต่อยอดความสำเร็จที่เกิดจากทักษะที่ฝึกฝนผ่านงานศิลปะได้ง่ายขึ้น ถือว่าเป็นการลงทุนอันชาญฉลาดของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะให้เด็กๆได้ฝึกใช้จินตนาการตั้งแต่วัยเริ่มต้น เพราะเมื่อวัยผ่านล่วงเลย เรื่องง่ายๆในวันนี้ อาจเป็นเรื่องยากยิ่งในอนาคต
เห็นหรือยังครับว่าศิลปะไม่ใช่เพียงวาดรูปเป็นเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากเด็กคนไหนมีใจรักก็สามารถฝึกฝนเพิ่มเติมจนกลายมืออาชีพและเป็นอาชีพหลักได้ การลงทุนด้านการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านศิลปะแบบนี้รับรองว่าไม่ขาดทุนแน่นอนครับ